PETER PAN & WENDY ปีเตอร์แพน และ เว็นดี้ 2023 พากย์ไทย เต็มเรื่อง
ตัวอย่างหนัง PETER PAN & WENDY ปีเตอร์แพน และ เว็นดี้ 2023 พากย์ไทย
ดูหนัง PETER PAN & WENDY ปีเตอร์แพน และ เว็นดี้ 2023 พากย์ไทย เต็มเรื่อง
เรื่องย่อ: PETER PAN & WENDY ปีเตอร์แพน และ เว็นดี้ 2023 พากย์ไทย เรื่องราวของ เวนดี้ ดาร์ลิ่ง (เอเวอร์ แอนเดอร์สัน) เด็กสาวผู้มีชีวิตชีวา เธอคือผู้กระหายการผจญภัยอย่างไม่รู้จักพอ เวนดี้จึงเริ่มต้นการเดินทางสุดพิเศษร่วมกับน้องชายสองคนของเธอ เพื่อท้าทายความปรารถนาของพ่อแม่พวกเธอจึงได้เข้าสู่ดินแดนมหัศจรรย์แห่งเนเวอร์แลนด์ และในที่แห่งนี้เวนดี้ก็ได้พบกับเด็กชายคนหนึ่งที่ไม่ยอมโตนั่นคือ ปีเตอร์ แพน (อเล็กซานเดอร์ โมโลนี) ผู้มีเสน่ห์และร่าเริง เมื่อได้เดินทางร่วมกับเขาเธอก็ค้นพบโลกแห่งความเป็นไปได้ที่ไร้ขอบเขต ที่ซึ่งเวทมนตร์ครอบงำ และกฎเกณฑ์แห่งกาลเวลากับการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ถูกท้าทาย ทำให้พวกเขาร่วมมือกับ ทิงเกอร์ เบลล์ (ยารา ชาฮิดี) นางฟ้าตัวน้อยๆ พวกเขาได้สร้างพันธมิตรที่นำพวกเขาไปสู่การหลบหนีที่น่าตื่นเต้นและเต็มไปด้วยอันตราย ขณะที่พวกเขาเดินทางลึกเข้าไปในภูมิประเทศเปลี่ยวของเนเวอร์แลนด์ และเพื่อนก็ได้บังเอิญพบกับ กัปตันฮุก แสนเจ้าเล่ห์ (จู๊ด ลอว์)
เมื่อปีที่แล้ว ในงาน D23 หรืองานเทศกาลประจำปีของ Disney ก็ได้มีการเปิดตัวโปรเจกต์ไตเติลใหม่ ๆ ออกมามากมาย ทั้งในนามของ Walt Disney Pictures เองและแผนกในเครือ แล้วยิ่งประกอบกับว่าปีนี้จะเป็นปีที่ครบรอบ 100 ปีของการก่อตั้งบริษัท Disney ก็เลยยิ่งเข็นคอนเทนต์ไตเติลใหม่ ๆ ออกมาให้พรึ่บไปหมด และแน่นอนว่าในจำนวนนั้นก็มีบรรดาหนัง Live Action เราก็เลยได้เห็นความพยายามรื้อเอาแอนิเมชันคลาสสิกในคลังของบริษัท เอามาปัดฝุ่นใหม่ในรูปแบบหนังไลฟ์แอ็กชัน ที่เหมือนจะเป็นคอนเซปต์หลัก ๆ ของค่ายในช่วง 10 กว่าปีให้หลังนี้ไปแล้วซึ่งอีกหนึ่งตำนานที่ Walt Disney Pictures ได้หยิบเอามาปัดฝุ่นก็คือ ปีเตอร์แพน (Peter Pan) ตำนานของเด็กชายชุดเขียวบินได้ที่ไม่ยอมโตนั่นเอง ซึ่งเอาเข้าจริงแล้ว เรื่องราวของปีเตอร์แพนนี่ถูกนำเอาไปทำใหม่ในหลายเวอร์ชันมากนะครับ ทั้งแอนิเมชัน ละครเวที คอมิก วิดีโอเกม และแน่นอนว่าต้องมีเวอร์ชันภาพยนตร์ไลฟ์แอ็กชันด้วย ซึ่ง 2 เรื่องที่หลายคนน่าจะรู้จักกันดีก็น่าจะหมายถึง ‘Hook’ (1991) เวอร์ชันของ สตีเวน สปีลเบิร์ก (Steven Spielberg) ที่แสดงโดย โรบิน วิลเลียมส์ (Robin Williams) ที่ใหม่หน่อยก็ตือ ‘Pan’ (2015) เวอร์ชันตีความใหม่ของผู้กำกับ โจ ไรต์ (Joe Wright)และ ‘Peter Pan & Wendy’ ตำนานปีเตอร์แพนฉบับใหม่ล่าสุด กำกับและเขียนบทร่วมโดย เดวิด โลเวอรี (David Lowery) ผู้กำกับที่ดังมาจากการกำกับหนังของค่าย A24 ทั้ง ‘A Ghost Story’ (2017), ‘The Green Knight’ (2021) และเคยกำกับไลฟ์แอ็กชันของ Disney มาแล้วใน ‘Pete’s Dragon’ (2016) ที่คราวนี้ตั้งใจผลิตเพื่อฉายทางสตรีมมิง Disney+ โดยเฉพาะเรื่องราวต่าง ๆ ของ ‘Peter Pan & Wendy’ เรียกว่าค่อนข้างถอดแบบมาจากเวอร์ชันแอนิเมชันเลยครับ เป็นเรื่องราวของ เวนดี้ ดาร์ลิง (Ever Anderson) พี่สาวคนโตของบ้าน กับน้องชายวัยกำลังซน จอห์น (Joshua Pickering) และไมเคิล (Jacobi Jupe) ที่มีเรื่องราวของปีเตอร์แพนอยู่ในหัวใจ แต่เวนดี้กำลังเจอปัญหา เพราะเธอถึงวัยต้องย้ายบ้านไปเรียนที่โรงเรียนประจำ แต่เธอเองก็ไม่อยากจะจากบ้านไปไหนจนกระทั่งคืนหนึ่ง เวนดี้และน้อง ๆ ได้พบกับเด็กชายที่ไม่ยอมโตอย่าง ปีเตอร์แพน (Alexander Molony) และทิงเกอร์เบล (Yara Shahidi) นางฟ้าตัวจิ๋ว ที่ได้พาพี่น้องดาร์ลิงหนีออกจากบ้านไปยังเนเวอร์แลนด์ ดินแดนมหัศจรรย์ ทำให้พวกเขาได้พบเจอกับเพื่อนใหม่ ๆ ทั้งหญิงสาวนักรบชนพื้นเมือง ไทเกอร์ ลิลลี (Alyssa Wapanatâhk) และบรรดาเด็กหลง ที่ต้องร่วมผจญภัยต่อสู้กับโจรสลัดจอมโหด กัปตันฮุก (Jude Law) และ สมี (Jim Gafiigan) ลิ่วล้อคู่ใจที่กำลังตามล่าปีเตอร์แพนความได้เปรียบหนึ่งของ ‘Peter Pan & Wendy’ ก็น่าจะหนีไม่พ้นการอยู่ภายใต้ชายคาเดียวกับผู้ผลิตแอนิเมชัน ‘Peter Pan’ ที่ฉายในปี 1953 ของ Disney เองนี่แหละครับ (สามารถชมได้ทาง Disney+ Hotstar) ซึ่งความได้เปรียบก็คือ แอนิเมชันเวอร์ชันนี้นับเป็นแอนิเมชันที่เป็นภาพจำที่คุ้นหน้าคุ้นตามากที่สุดในบรรดาคอนเทนต์เกี่ยวกับปีเตอร์แพนที่เคยมีมาแล้วล่ะ ทั้งคาแรกเตอร์ปีเตอร์แพน และทิงเกอร์เบล ที่จริง ๆ แล้วภูติจิ๋วชุดเขียวตัวนี้ ถูกยกให้เป็นหนึ่งในไอคอนของแบรนด์ Disney ไปแล้วด้วยซ้ำ แม้แต่คาแรกเตอร์กัปตันฮุก หรือวลีเรียกชื่อ ‘ไอ้คุณสมี’ (Mr. Smee) ก็ที่มาจากแอนิเมชันเรื่องนี้นี่แหละเพราะฉะนั้น ตัวหนังก็เลยยืดเอาแอนิเมชันของตัวเองนี่แหละมาเป็นแกนหลักในการดัดแปลง ซึ่งถ้าดูเทียบกันช็อตต่อช็อต ก็จะเห็นว่าตัวหนังยึดจากแอนิเมชันมาเป็นตัวอ้างอิง ทั้งวิธีการเล่าเรื่อง และเส้นเรื่อง ชนิดที่เรียกว่าถอดแบบกันมาเลย และการให้เวนดี้เป็นตัวเดินเรื่องหลัก แต่ถึงกระนั้น ตัวหนังเองก็ไม่ได้ถึงกับหยิบเอาบทจากของเดิมมาตีความใหม่เสียทีเดียวนะครับ เพราะมีความพยายามจะตีความใหม่ และปรับแต่งเรื่องราวให้มีความแตกต่างไปจากเดิม ทั้งการปรับทุกอย่าง ตั้งแต่โปรดักชัน วิธีการเล่าและดำเนินเรื่องที่ตรงกับความเป็นจริง ลดทอนความแฟนตาซีลง แต่ก็ยังมีความแฟนตาซีอยู่ รวมทั้งเพลงประกอบจากแอนิเมชันที่ไม่ได้ถูกนำมาใช้เลย แต่เป็นการแต่งขึ้นมาใหม่ทั้งหมดรวมทั้งการเพิ่มปมและมิติต่าง ๆ ให้แก่ตัวละคร เช่นเวนดี้ ที่ต้องย้ายออกจากบ้านไปเรียนโรงเรียนประจำตามคำสั่งของพ่อแม่ ในขณะที่เธอเองก็ไม่เข้าใจถึงเจตนาและความหวังดีของพ่อและแม่ รวมทั้งการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ เพราะในเมื่อเธอเองก็มีความสุขดีกับการอยู่บ้าน เล่นกับน้อง ๆ อยู่แล้ว ซึ่งการดัดแปลงนี้ เข้าใจว่าคงตั้งใจให้เป็นความต่างขั้วกันระหว่างเวนดี้ กับปีเตอร์แพน เด็กชายผู้ไม่ยอมโต ยังอยากเล่นสนุกอยู่กับเหล่าเด็กหลงในบ้านร้าง และไม่จำเป็นต้องมีพ่อแม่คอยจ้ำจี้จ้ำไช ในขณะที่ตัวหนังก็สอดแทรกเรื่องของการเข้าใจการเติบโต และแทรกมุมมองของคนที่ยังมีความเป็นเด็กในหัวในด้วยอีกการตีความใหม่ก็คือ การเพิ่มปูมหลังให้กับศัตรูคู่แค้น ทั้งปีเตอร์แพน และกัปตันฮุก จากในแอนิเมชันที่ไม่ได้มีการเล่าปูมหลังอะไรมาก แต่ในเวอร์ชันนี้ น่าสนใจตรงการเพิ่มปูมหลังของปีเตอร์แพน ที่จริง ๆ แล้วไม่ใช่เพียงแค่เด็กบินได้ แต่ยังมีเบื้องหลังที่มาที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างเขากับกัปตันฮุก ที่นอกจากแค่เรื่องเล่าว่า ปีเตอร์แพนตัดมือของเขาจนขาด เลยเป็นที่มาที่ทำให้เขาต้องใส่มือตะขอแทน (ปีเตอร์แพนนี่โคตรอันตรายเหมือนกันนะ 555) รวมทั้งการต่อสู้ระหว่างปีเตอร์แพน เวนดี้ และบรรดาเด็ก ๆ กับกองทัพโจรสลัดของกัปตันฮุก ที่อัปสเกลทั้งพล็อตและงานสร้างให้มีความ Epic และสมจริงสมจัง ที่ถือว่าทำได้ค่อนข้างดีถึงแม้จะมีวิธีการเล่าเรื่อง งานสร้าง และเส้นเรื่องที่ดูมีมิติสมจริงมากขึ้น และแตกต่างจากฉบับแอนิเมชันอย่างชัดเจน ถึงขนาดมีการเพิ่มซีนที่เต็มไปด้วยความซีเรียสและดุดันให้กับตัวหนังจนไม่น่าเชื่อว่านี่คือหนังเด็ก แต่ด้วยความที่สุดท้ายแล้ว ตัวหนังเองก็ยังคงยึดทุกอย่างตามโครงเรื่องจากฉบับแอนิเมชันแบบเป๊ะ ๆ ชนิดที่แทบไม่ต้องเดาตอนจบเลยว่ามันจะเป็นอย่างไรต่อไป บางอย่างจากในหนังก็เป็น Easter Egg ที่ดึงมาจากในแอนิเมชันเลยด้วยซ้ำ ทำให้ตัวหนังโดยรวม ๆ เป็นเพียงการเพิ่มมิติให้กับหนังแบบผิว ๆ ให้พอจะมีอะไรขึ้นมาบ้างเท่านั้นเองอีกจุดที่ตัวหนังเองดัดแปลงให้ต่างไปจากต้นฉบับก็คือ บรรดาตัวละครที่มีการเพิ่มความหลากหลายเข้ามา (หรือจะเรียกว่า Woke ก็พอได้) ซึ่งในหนังจะเห็นการปรับเปลี่ยนอัตลักษณ์ของตัวละครไปมากพอสมควร ทั้งการตัดประเด็นของเด็กชนเผ่าอินเดียนแดง ให้เหลือเพียงแค่เป็นเด็กหลง (เพื่อไม่ให้มีปัญหาเรื่องการเหยียดเชื้อชาติ) ส่วนตัวละคร ไทเกอร์ ลิลลี ที่รับบทโดย อลิสซา วาพานาทาห์ก (Alyssa Wapanatâhk) ที่ถูกเปลี่ยนจากเจ้าหญิงชาวอินเดียนแดง เป็นนักรบหญิงชาวพื้นเมือง (อะไรสักอย่าง) ในเนเวอร์แลนด์ ที่แม้เธอจะน่าสนใจ แต่บทก็ไม่ได้ทำให้เธอโดดเด่นมากนักเช่นเดียวกับตัวละครหลักทั้งปีเตอร์แพน ที่แสดงโดย อเล็กซานเดอร์ โมโลนี (Alexander Molony) นักแสดงชาวอังกฤษลูกเสี้ยวศรีลังกา และทิงเกอร์เบล ที่แสดงโดย ยารา ชาฮิดี (Yara Shahidi) นักแสดงชาวแอฟริกันอเมริกัน ซึ่งแน่นอนว่าทั้งคู่มีการแสดงที่ถือว่าไม่แย่ โมโลนีก็ถือว่าเป็นปีเตอร์แพนที่ดูคมเข้มแปลกตาดี แต่อาจจะเพราะเป็นงานแสดงชิ้นแรกของน้องด้วย ก็เลยยังไม่ได้รู้สึกว่ามีเสน่ห์มากนัก ส่วนชาฮิดี ที่ก็ดูแปลกตาเช่นกัน แต่สุดท้าย บทบาทของเธอก็น้อยจนแทบไม่ได้ส่งให้เธอฉายแววความเป็นทิงเกอร์เบลในแบบที่เป็นภาพจำได้มากนัก อาจไม่ถึงขั้นต่อต้าน แต่ก็ไม่ได้รู้สึกทำให้ผู้เขียนรู้สึกอยากซื้อเหตุผลว่า ทำไมถึงกล้าเปลี่ยนอัตลักษณ์ของตัวละครสำคัญไปมากขนาดนี้ส่วน 2 นักแสดงนำทั้งเวนดี้ ที่รับบทโดย เอเวอร์ แอนเดอร์สัน (Ever Anderson) ที่จริง ๆ แล้วน้องไม่ใช่มือใหม่นะครับ เพราะเธอคือลูกสาวของนักแสดงฮอลลีวูด มิลา โจโววิช (Milla Jovovich) นั่นเอง แล้วก็เคยรับบท นาตาชา โรมานอฟฟ์ วัยเด็ก ในหนัง ‘Black Widow’ (2021) มาแล้ว ซึ่งเสน่ห์และการแสดงของน้องก็ถือว่าช่วยแต่งแต้มให้หนังมีเสน่ห์ขึ้นอีกพอสมควร และนักแสดงแม่เหล็กคนเดียวของเรื่องอย่าง จูด ลอว์ (Jude Law) ที่ทั้งฝีมือการแสดง และบทนั้นช่วยทำให้กัปตันฮุกคนนี้ดูมีมิติที่น่าสนใจ แม้จะไม่ได้มีอะไรเกินความคาดหมายก็เถอะสุดท้าย ถ้าจะอธิบายแบบจำกัดความว่า ‘Peter Pan & Wendy’ มันคืออะไร สำหรับผู้เขียน มันก็คือของเล่นชิ้นเดิมที่ถูกทำให้สมจริงมากกว่าเดิม วัสดุดีกว่าเดิมนั่นแหละครับ เป็นของเล่นที่จะทำให้เด็กได้สัมผัสกับธีมเรื่องราวที่เป็นแก่นหลักของปีเตอร์แพนในทุก ๆ เวอร์ชัน นั่นก็คือเรื่องของการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ความรักความอบอุ่นจากพ่อแม่ และในเวอร์ชันนี้ ที่แถมเรื่องของมิตรภาพแทรกเอาไว้เล็ก ๆ แต่ด้วยความสมจริง มีความดาร์กอะไรบางอย่าง เด็กคงไม่เลือกดูเองแน่ ๆ แต่คงต้องเป็นหน้าที่ของพ่อแม่ที่จะเปิด นั่งดู และสอนลูกไปด้วยกัน แม้จะไม่ได้มีอะไรใหม่ในแง่ของความคิดสร้างสรรค์ แต่ก็ยังทำออกมาให้เด็ก (และเด็กหนวด) ดูได้แบบเพลิน ๆ แต่สำหรับผู้ใหญ่ หรือนักดูหนัง ดูแล้วอาจจะมีง่วงนิดหน่อย