13 Beloved 13 เกมสยอง 2006 พากย์ไทย
ตัวอย่างหนัง 13 Beloved 13 เกมสยอง 2006 พากย์ไทย
ดูหนัง 13 Beloved 13 เกมสยอง 2006 พากย์ไทย เต็มเรื่อง
เรื่องย่อ:13 Beloved 13 เกมสยอง 2006 พากย์ไทย ภูษิตกำลังมีวันที่เลวร้ายที่สุดในชีวิต เขาเพิ่งตกงานและมีหนี้สินล้นพ้นตัว ทุกอย่างกำลังจะเปลี่ยนไปเมื่อเขาได้รับโทรศัพท์ลึกลับพร้อมข้อเสนอที่เย้ายวนใจ หากเขาทำได้ 13 งาน เขาจะชนะ 100 ล้านบาท ภูษิตตกลงและเริ่มเกม
หากให้นึกชื่อภาพยนตร์ไทยที่ทั้งดีและมากไปด้วยคุณภาพแบบเร็วๆ มั่นใจได้ว่าหนึ่งในนั้นจะต้องมีภาพยนตร์เรื่อง 13 เกมสยอง อย่างแน่นอน เพราะด้วยเนื้อหาที่จะพาเราออกสำรวจถึงธาตุแท้ของมนุษย์อย่างหนักหน่วง ผ่านการเล่นเกมวัดศีลธรรมชีวิตที่มาพร้อมกับการเสียดสีกฎหมายอย่างเจ็บแสบ และตอนจบสุดหักมุม สิ่งเหล่านี้เองที่ทำให้ 13 เกมสยอง กลายเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ที่อยู่ในใจของใครหลายๆ คนมาจนถึงปัจจุบัน13 เกมสยอง คือ หนึ่งในผลงานภาพยนตร์ระทึกขวัญระดับมาสเตอร์พีซของ มะเดี่ยว-ชูเกียรติ ศักดิ์วีระกุล ที่ดัดแปลงมาจากเรื่อง 13th Quiz Show ตีพิมพ์ในหนังสือการ์ตูน รวมเรื่องสั้นจิตหลุด (My Mania) ของ เอกสิทธิ์ ไทยรัตน์ โดยภาพยนตร์ประสบความสำเร็จทั้งในแง่เสียงชื่นชมและรายได้ กระทั่งในเวลาต่อมา ด้วยเสียงเรียกร้องจากแฟนๆ จำนวนมาก จึงได้มีการสร้างภาพยนตร์สั้นที่บอกเล่าเรื่องราวก่อนเหตุการณ์ในภาพยนตร์ โดยใช้ชื่อว่า 11 หรือ Earthcore และ 12 Begin ตามลำดับ นอกจากนี้ 13 เกมสยอง ยังเคยถูกซื้อลิขสิทธิ์เพื่อนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ฮอลลีวูดโดยใช้ชื่อว่า 13 Sins อีกด้วย13 เกมสยอง บอกเล่าเรื่องราวของ ภูชิต พึ่งนาทอง (น้อย วงพรู) เซลส์แมนขายเครื่องดนตรีคนหนึ่ง ที่กำลังถูกบริษัทบีบให้ลาออกจากการเป็นพนักงานหลังจากที่ไม่สามารถทำรายได้ได้ตามเป้า อีกทั้งยังประสบปัญหาหนี้สินรุมเร้า แฟนทิ้งไปอยู่กับผู้ชายคนใหม่ แถมยังต้องส่งเสียน้องสาว รวมไปถึงแม่ที่เลี้ยงดูเขาและน้องเพียงลำพังมาตั้งแต่เด็ก สมบัติชิ้นสุดท้ายของเขาอย่างรถยนต์ที่ขาดส่งไป 3 เดือนก็ยังมาถูกยึดไปต่อหน้าต่อตาอีก แต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นเมื่อเสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น และเสียงปลายสายลึกลับได้ดึงเขาเข้าสู่ ‘13 Beloved’ เกมท้าทายชีวิตที่มีโจทย์อยู่ด้วยกัน 13 ข้อ ซึ่งแต่ละข้อก็ยั่วยวนให้เขาค้นหาคำตอบและเล่น โดยมีผลตอบแทนที่ดึงดูดใจอย่าง ‘เงิน’ ที่เมื่อผ่านโจทย์ในแต่ละข้อเขาก็จะได้เงินสะสมทวีคูณขึ้นไปเรื่อยๆ และจะถูกโอนเข้าบัญชีธนาคารที่เขาสามารถตรวจสอบได้ทันที และถ้าเขาเล่นเกมครบ 13 ข้อก็จะได้เงินรางวัลสะสมสูงถึง 100 ล้านบาท โดยมีเงื่อนไขว่า เมื่อใดก็ตามที่เขาหยุดเล่นเงินสะสมทั้งหมดจะถูกยกเลิก หากบอกต่อให้คนอื่นรู้เกมจะถือว่าเป็นโมฆะ และหากพยายามติดต่อกลับหมายเลขดังกล่าวถือว่าเกมสิ้นสุดลงทันทีหนึ่งในคำถามที่น่าสนใจของ 13 เกมสยอง คือ ‘มนุษย์จะละทิ้งศีลธรรมของตัวเองได้มากแค่ไหนเมื่อถึงเวลาที่ตนอับจนหนทาง’ เราจะเห็นได้จากการที่ชีวิตของภูชิตนั้นล้มเหลวในทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นหน้าที่การงาน ครอบครัว การเงิน หรือความรัก ซึ่งทุกปัญหานั้นล้วนเกิดจากตัวของเขาเองแทบจะทั้งสิ้น แต่แล้วจู่ๆ ก็มีเสียงกระซิบจากปีศาจที่มีชื่อว่า 13 ยื่นข้อเสนอมาให้กับเขาว่า หากเขายอมรับเงื่อนไขของตน ปัญหาที่เขาเผชิญอยู่ทั้งหมดจะหายไปในทันที คำถามก็คือ หากคนดูภาพยนตร์อย่างเราเป็นภูชิต เราจะยอมเซ็นสัญญากับปีศาจไหม? แน่นอนว่าถ้ามองในมุมของคนดูเราก็คงตอบว่า ‘ไม่’ อย่างไม่ต้องสงสัย แต่ถ้ามองในมุมของภูชิตผู้ที่ล้มเหลวในทุกๆ ด้านของชีวิตล่ะ? เขาจะต้องเอื้อมมือไปหาปีศาจอย่างแน่นอน เพราะมนุษย์นั้นมีความต้องการอยู่เสมอ และเมื่ออับจนหนทางปีศาจก็จะใช้ความอ่อนแอเหล่านั้นมาล่อลวงเราได้อย่างง่ายดาย ต่อให้สิ่งนั้นมันจะทำให้ชีวิตของเขาพังทลายย่อยยับลงก็ตาม เขาก็เลือกที่จะจับมือกับปีศาจอยู่ดีแต่หากมองในมุมกลับกัน ปีศาจที่ชื่อว่า 13 ไม่ได้ทำให้ชีวิตของภูชิตย่อยยับ 13 เป็นเพียงแค่ปีศาจที่มายื่นข้อเสนอให้กับเขาเท่านั้น แต่คนที่ตัดสินใจว่าจะ ‘รับ’ หรือ ‘ไม่รับ’ ก็คือตัวของเขาเอง13 เกมสยอง จึงเป็นเหมือนบททดสอบที่ท้าทายระหว่าง ‘กิเลสความต้องการ’ กับ ‘ศีลธรรมในใจ’ ของมนุษย์ ซึ่งไม่ว่าจะอย่างใดก็ล้วนแต่สะท้อนถึงหลุมดำภายในจิตใจของมนุษย์อยู่ดีในช่วงแรกของเกมเราจะเห็นได้ว่า โจทย์และเงื่อนไขของเกมนั้นยังไม่ได้มีความรุนแรงและก้าวข้ามเส้นศีลธรรมแต่อย่างใด จนกระทั่งเรื่องราวถูกดำเนินไปเรื่อยๆ ผ่านจำนวนตัวเลขที่มากขึ้นของเกม พร้อมกับความเป็นมนุษย์ที่หลุดลอยหายไปจากตัวของภูชิตมากขึ้นเรื่อยๆ ตามจำนวนตัวเลขที่มากขึ้น ซึ่งจะเห็นว่าบททดสอบในช่วงแรกนั้นจะเริ่มต้นจากอะไรที่ทำได้ง่ายๆ แต่ในความง่ายเหล่านั้นก็มีการละลายความรู้สึกผิดไปทีละน้อยอย่างไม่รู้ตัว ตั้งแต่เกมแรกกับภารกิจที่ง่ายแสนง่ายอย่างการฆ่าแมลงวันแค่ตัวเดียว จริงอยู่ที่มันเป็นแค่สัตว์ตัวเล็กตัวหนึ่งที่ไม่ได้มีความหมายอะไรเป็นพิเศษ การตายของมันจึงทำให้ภูชิตไม่ต้องรู้สึกผิดอะไรมากมายขนาดนั้น แต่อย่าลืมว่าในเวลาปกติหากแมลงวันไม่ได้มาตอมหรือสร้างความรำคาญให้กับเรา เราก็คงไม่ลุกขึ้นไปตีมันอย่างแน่นอนจนกระทั่งเกมเริ่มจะพาเราเข้าไปสำรวจในจิตใจของภูชิตมากขึ้น อย่างการที่เขาถูกพ่อทุบตีทำร้ายร่างกายมาตั้งแต่เด็ก ซึ่งภาพยนตร์เลือกที่จะนำเสนอออกมาเป็นภาพแฟลชแบ็กช่วงสั้นๆ ให้ผู้ชมได้รับรู้ตีคู่ไปกับการที่เขาจะต้องมาทำสิ่งเดียวกันกับเด็กในโรงเรียน ซึ่งเป็นโจทย์ข้อที่ 3 แม้มันจะไม่ใช่เรื่องที่ดูยากอะไรในสายตาของภูชิต แต่นั่นก็เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่า เกราะที่มีชื่อว่า ‘ศีลธรรม’ ในตัวของเขานั้นค่อยๆ หลุดลอยออกไปทีละนิดแล้วแต่เกมก็ยังคงเดินหน้าพาเราออกไปสำรวจถึงจุดอ่อนที่เรียกว่า ‘ปมในอดีต’ ที่ฝากรอยแผลเอาไว้ให้กับตัวเขา โดยเฉพาะโจทย์ข้อที่ 5 ที่ปมเหล่านั้นถูกกระตุ้นให้เขากล้าที่จะกินอาหารเพื่อที่จะเอาชนะและคว้าเงินรางวัลมาครอง ปมเหล่านั้นเองที่ถ้าหากเราไม่เคยตระหนักรู้ เราก็มักจะถูกมันกลืนกินและกระตุ้นให้ต้องทำในสิ่งที่ผิดได้อย่างง่ายดายโดยที่เราไม่ทันรู้ตัวนอกจากนี้ เรื่องราวของโจทย์แต่ละข้อยังสะท้อนไปถึงด้านมืดของสังคมไทยด้วย ตัวอย่างเช่น ปู่ชิว ในโจทย์ข้อที่ 7 ที่ภูชิตจะต้องนำร่างของเขาที่ตายไปแล้วเป็นสิบวันออกมาแทนญาติที่อยู่ใกล้กันแค่เอื้อม ซึ่งไม่มีใครเอะใจหรือสงสัยว่าปู่ชิวหายไปไหนเลยสักคน ซึ่งภาพยนตร์พยายามสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาของ ‘คนที่ถูกทอดทิ้งจากสังคม’ ไม่เพียงเท่านั้น โจทย์ในข้อก่อนหน้านี้อย่างข้อที่ 6 ก็สะท้อนให้เราเห็นถึงปัญหาของ ‘กลุ่มคนที่เป็นภัยสังคม’ เราจะเห็นได้จากการที่ภูชิตจะต้องแย่งโทรศัพท์จากกลุ่มเด็กนักเรียนช่างกลด้วยการต่อยตีและทำร้ายร่างกายกันจนปางตาย มองดูผิวเผินแล้วก็ดูเหมือนจะไม่มีอะไรพิเศษ แต่หากมองดูให้ดี ภูชิตที่ชีวิตก่อนหน้านี้ของเขาดูเหมือนจะห่างไกลจากสิ่งเหล่านี้เป็นอย่างมาก สังเกตได้จากช่วงต้นเรื่องที่เขาไม่แม้แต่จะกล้าเข้าไปต่อยหน้ารุ่นพี่ที่บริษัทที่มาแย่งฐานลูกค้าของเขา แต่หลังจากที่เขาได้เซ็นสัญญากับปีศาจ ภูชิตก็แสดงด้านมืดของตัวเองออกมาอย่างไม่ลังเลด้วยการเดินเข้าไปต่อยที่หน้าของรุ่นพี่คนนั้น แม้มันจะไม่ใช่เรื่องที่ดูใหญ่โตเท่ากับการตีรันฟันแทงกับเด็กอาชีวะ แต่มันก็เป็นสิ่งยืนยันว่าตัวเขานั้นได้ก้าวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาสังคมเป็นที่เรียบร้อยแล้วในช่วงแรกถึงกลางเรื่อง เกมจะพาเราไปสำรวจถึงเกราะที่เรียกว่า ‘ศีลธรรม’ และปมอดีตในวัยเด็กของภูชิต (ซึ่งสิ่งนี้จะส่งผลเป็นอย่างมากในช่วงท้ายของเรื่อง) แต่เมื่อเกมขึ้นเลข 2 หลักทุกอย่างก็เกินจะควบคุม ภูชิตไม่สามารถที่จะหยุดเล่นเกมนี้ได้อีกต่อไป เพราะเขาได้ก้าวข้ามเส้นอย่างการฆ่ามนุษย์ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วในเกมที่ 11 นั่นทำให้จากที่เขาเคยมีทางเลือกที่จะหยุดเล่นเกมเมื่อไรก็ได้ กลายเป็นไม่มีทางเลือกนั้นในทันที และด้วยเหตุนี้เอง ต่อให้ชีวิตของเขาจะพังทลายย่อยยับและห่างไกลจากความเป็นมนุษย์มากเพียงใด เขาก็ต้องก้มหน้ายอมรับชะตากรรมที่เขาเป็นคนเลือกด้วยตัวเองปีศาจที่มองเห็นถึงจุดอ่อนนั้นจึงเฉลยว่า ทั้งหมดที่เขากำลังทำอยู่มันคือเกมโชว์ที่มีคนดูอยู่มากมายจากทั่วทุกมุมโลก คำถามก็คือ พวกเขาทุกคนต่างก็เห็นถึงการกระทำอันเลวร้ายของภูชิตมาโดยตลอด แต่กลับไม่มีใครสักคนเลยที่คิดจะห้ามปรามเขา นั่นก็เพราะว่าบางทีลึกลงไปในก้นบึ้งของจิตใต้สำนึก เราทุกคนต่างก็มีความต้องการที่จะมองดูสิ่งที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อนในชีวิต แม้มันจะเป็นสิ่งเลวร้ายอย่างการฆ่าคนก็ตาม และยิ่งคนที่ต้องลงไปสัมผัสกับสิ่งเหล่านั้นไม่ใช่ตัวของเราเอง เราในฐานะผู้ชมก็คงไม่ได้รู้สึกถึงคำว่า ‘ศีลธรรม’ และ ‘ความรู้สึก’ ของผู้ที่เป็นคนเล่นเกมมากเท่าไรหรอก เพราะในมุมมองของผู้ชมสุดท้ายแล้วมันก็เป็นแค่เกมเกมหนึ่งอยู่ดี หากนึกภาพให้ง่ายขึ้น มันก็เหมือนกับเวลาที่เราดูรายการล่าท้าผีที่ในมุมมองความรู้สึกของคนที่ไปล่าท้าผีนั้นคือ ‘ความกลัว’ แต่สิ่งที่เราคนดูรู้สึกและสัมผัสได้จากพวกเขาก็คือ ‘ความสนุก’ นั่นก็เพราะว่าเราไม่รู้เราจึงอยากดู และพอเราไม่ต้องลงไปสัมผัสด้วยมือของตัวเองเราจึงสนุก ซึ่งบางทีผู้รับชมเกมในภาพยนตร์เรื่องนี้เองก็คงไม่ต่างอะไรกับเราที่เป็นคนดูในโลกแห่งความเป็นจริงสักเท่าไรจนกระทั่งเกมได้ดำเนินมาถึงโจทย์ข้อสุดท้ายที่ชี้เป็นชี้ตายกับตัวของภูชิตว่าเขาจะยอมหันหลังให้กับศีลธรรมอย่างเต็มตัว หรือจะก้าวออกมาจากเส้นทางแห่งความมืดที่ตัวเขาเป็นคนเลือกเดิน แต่แล้วภาพยนตร์ก็ไม่ได้หยิบยื่นโอกาสที่แสนจะใจดีแบบนั้นให้กับเขา เมื่อทุกอย่างถูกเฉลยว่าเรื่องราวในอดีตทั้งหมดของภูชิตนั้นล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องกับเกมมาตั้งแต่แรก และคนที่เล่นเกมนั้นก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกเสียจากพ่อของเขา ที่ทั้งภาพความทรงจำการทำร้ายร่างกาย การฆ่าสุนัข หรือแม้กระทั่งภาพอุจจาระ ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเชื่อมโยงขนานกันไปกับสิ่งที่เขาทำมาโดยตลอด และในโจทย์ข้อที่ 13 อย่างการที่พวกเขาคนใดคนหนึ่งจะต้องฆ่าคนที่พวกเขารัก ซึ่งเป็นโจทย์ที่วัด ‘ความเป็นมนุษย์’ มากที่สุด นอกจากนี้มันยังแสดงให้เห็นว่า ‘ด้านมืด’ ของมนุษย์นั้นน่ากลัวเพียงใด เมื่อผู้เป็นพ่อเลือกที่จะแทงลูกชายเพียงคนเดียวของตนอย่างไม่ลังเลเพื่อเงินรางวัล 100 ล้านบาท ในทางกลับกัน ลูกชายของเขาอย่างภูชิตกลับเลือกที่จะไม่ทำในสิ่งเดียวกับที่พ่อของเขาทำ เพราะถึงแม้ตัวของเขาจะชโลมไปด้วยเลือดและบาปจากสิ่งที่เขาเป็นคนก่อมากเพียงใด เขาก็ยังตระหนักได้ในวินาทีสุดท้ายว่า ท่ามกลางเส้นทางที่มืดมิดมาโดยตลอดของเขา ชีวิตของเขานั้นยังคงมีแสงสว่างดวงเล็กๆ ดวงหนึ่งคอยส่องนำทางให้กับตัวเขาอยู่เสมอ แม้ในวันที่เขาหลงทางมาไกลเกินกว่าจะหันหลังกลับก็ตาม และแสงสว่างนั้นก็คือ ‘ความเป็นมนุษย์’ความเป็นมนุษย์ของเขาก็ถูกนำเสนอออกมาตลอดทั้งเรื่องผ่านการกระทำต่างๆ ของเขา ไม่ว่าจะเป็น การที่เขาขอโทษเด็กนักเรียนคนหนึ่งก่อนที่จะแย่งลูกอม การเลือกที่จะไม่ฆ่าเด็กอาชีวะที่มีเรื่องกับเขาแม้เขาอยากจะทำมันแค่ไหนก็ตาม การเลือกที่จะฆ่าสุนัขมากกว่ารุ่นน้องของตน หรือแม้กระทั่งการพาแฟนใหม่ของแมวผู้เป็นอดีตคนรักไปส่งโรงพยาบาลหลังจากทุบตีเสร็จเพื่อไม่ให้เขาตาย แต่ ‘ปีศาจ’ ที่ 13 เกมสยอง ตั้งใจจะนำเสนอจริงๆ อาจไม่ใช่เกมที่มีชื่อว่า 13 Beloved เพราะปีศาจในความหมายที่แท้จริงของภาพยนตร์เรื่องนี้อาจจะหมายถึง ‘ด้านมืดในตัวของมนุษย์ทุกคน’ เพราะจากทั้งหมดที่กล่าวมาจะเห็นได้ว่า ไม่ใช่แค่ 13 Beloved ที่เป็นปีศาจเพียงตนเดียว ทั้งภูชิต คนรอบข้าง รวมไปถึงสังคมบางส่วนต่างก็เป็นปีศาจเช่นเดียวกัน แต่แค่บางครั้งสิ่งเหล่านั้นเป็นปีศาจในรูปแบบที่เรามองไม่เห็น หรือเลือกที่จะไม่มองเท่านั้นเองวยการแสดงของ น้อย ที่รับบทเป็น ภูชิต ได้ราวกับเป็นตัวละครตัวนั้นจริงๆ ก็ทำให้ผู้ชมรู้สึกเข้าถึงตัวละครนั้นได้อย่างไม่ยากเย็น ต้องชมคนที่เลือกเขามารับบทนี้ เพราะแค่เห็นและแค่พูด ความเก็บกดอดกลั้นก่อนที่มันจะระเบิดออกมาก็แทบจะทำให้คนดูเชื่อไปกับการแสดงที่ดูจริงใจเสมือนถ่ายทอดอารมณ์ออกมาจากตัวตนของเขาจริงๆ และด้วยฝีมือการแสดงเหล่านั้นเอง ส่งผลให้เมื่อถึงฤดูกาลแจกรางวัล น้อยสามารถคว้ารางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจาก 2 สถาบันสำคัญของประเทศคือ รางวัลภาพยนตร์แห่งชาติ สุพรรณหงส์ ครั้งที่ 16 และ ชมรมวิจารณ์บันเทิง ครั้งที่ 1 ไปครองได้สำเร็จจากทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมาจะเห็นได้ว่า ด้วยเนื้อหาที่สอดแทรกประเด็นทางสังคม และการวิพากษ์วิจารณ์ความเป็นมนุษย์อย่างหนักหน่วง ผ่านลูกล่อลูกชนที่ชวนให้น่าติดตาม พร้อมกับทีมนักแสดงมากความสามารถที่มาร่วมกันถ่ายทอดเรื่องราว ความรู้สึกของตัวละครให้ออกมาอย่างสมจริง และลุ้นระทึกตลอดทั้งเรื่อง ส่วนประกอบเหล่านี้เองที่ทำให้ 13 เกมสยอง กลายเป็นมากกว่าภาพยนตร์ระทึกขวัญที่เราพบเห็นกันได้ทั่วไป และนั่นคงเป็นเหตุผลสำคัญที่ทำให้ใครหลายคนชื่นชอบ และมักจะแนะนำให้ผู้อื่นได้รับชมถึงความยอดเยี่ยมเหล่านั้นอยู่เสมอ ตั้งแต่ครั้งแรกที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ออกฉายจวบจนถึงทุกวันนี้