Phase of the Moon เกิดกี่ครั้งก็ยังเป็นเธอ 2022 พากย์ไทย
ตัวอย่างหนัง Phase of the Moon เกิดกี่ครั้งก็ยังเป็นเธอ 2022 พากย์ไทย
ดูหนัง Phase of the Moon เกิดกี่ครั้งก็ยังเป็นเธอ 2022 พากย์ไทย เต็มเรื่อง
เรื่องย่อ:Phase of the Moon เกิดกี่ครั้งก็ยังเป็นเธอ 2022 พากย์ไทย เคย์ โอซาไน (โย อิซุมิ) เป็นสามีของ คซึเอะ โอซาไน (โค ชิบาซากิ) ส่วน รูริ (ฮินาโกะ คิคุจิ) เป็นลูกสาวที่น่ารักของพวกเขา ซึ่งในทุกช่วงเวลาที่ผ่านมาเคย์ได้ใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวด้วยการมีชีวิตที่แสนเรียบร้อย แต่ทว่าในวันหนึ่งก็ได้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้นกับคซึเอะและรูริ จากเหตุการณ์ในครั้งนี้กลับทำให้เคย์จะต้องเผชิญหน้ากับความสูญเสียครั้งใหญ่ หลังจากนี้ครอบครัวที่แสนมีความสุขก็จะเหลือแค่เขาเพียงคนเดียวที่ต้องดำเนินชีวิตต่อไป แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตามเคย์จะต้องก้าวผ่านความทุกข์ในครั้งนี้ไปให้ได้ จนกระทั่งเขาได้บังเอิญมาเจอกับชายหนุ่มแปลกหน้า อะกิฮิโกะ มิซุมิ (เร็น เมกุโระ) ซึ่งทำให้มุมมองการใช้ชีวิตของเขาต้องเปลี่ยนไป
Phases of the Moon เกิดกี่ครั้งก็ยังเป็นเธอ คือภาพยนตร์โรแมนติก-ดราม่าเรื่องล่าสุดจากผู้กำกับ ฮิโรกิ ริวอิจิ ที่หยิบนำนิยายชื่อดังเรื่อง Tsuki no Michikake ของนักเขียน ซาโต้ โชโกะ เจ้าของรางวัล Naoki Prize ครั้งที่ 157 มาดัดแปลงเป็นฉบับภาพยนตร์ นอกจากนี้ตัวภาพยนตร์ยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Japan Academy Film Prize ครั้งที่ 46 ถึง 9 สาขา เช่น ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม, ผู้กำกับยอดเยี่ยม, นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม (โออิสุมิ โย) ฯลฯ สำหรับเนื้อหาของภาพยนตร์ จะพาผู้ชมไปติดตามเรื่องราวของ โอซาไน (โออิสุมิ โย) ชายหนุ่มที่สูญเสียภรรยาและลูกสาวไปอย่างกะทันหัน ซึ่งทำให้เขาไม่อาจข้ามผ่านความเศร้าไปได้ กระทั่งวันหนึ่ง อากิฮิโกะ (เมกุโระ เร็น) ชายปริศนาได้เดินทางมาหาโอซาไนเพื่อบอกว่าในวันเกิดเหตุ ลูกสาวของโอซาไนอย่าง รุริ กำลังเดินทางมาหาเขา เขาไม่เคยรู้จักกับลูกสาวของโอซาไนมาก่อน แต่เขาเคยมีคนรักที่ชื่อ รุริ (คาสุมิ อาริมุระ) เหมือนกันเพื่อให้ผู้อ่านได้เห็นภาพมากขึ้นอีกสักหน่อย ภาพยนตร์จะบอกเล่าเรื่องราวผ่านสายตาของสองตัวละครหลัก นำโดย โอซาไน ชายวัยกลางคนที่กำลังจมอยู่กับความโศกเศร้าจากการสูญเสียภรรยาและลูกสาว ควบคู่ไปกับ อากิฮิโกะ นักศึกษาหนุ่มที่ได้โคจรมาพบกับ รุริ หญิงสาวที่เขาได้พบโดยบังเอิญ ผ่านช่วงเวลาสำคัญๆ ของพวกเขาที่เกิดขึ้นในปี 1980 ถึงช่วงต้นของยุค 2000 Phases of the Moon ยังคงเป็นภาพยนตร์โรแมนติก-ดราม่าสไตล์ญี่ปุ่น ที่มาพร้อมกับกลวิธีนำเสนอที่ค่อยเป็นค่อยไป ไม่หวือหวา เพื่อพาเราไปซึมซับเรื่องราวและความรู้สึกของตัวละครไปเรื่อยๆ ตั้งแต่ต้นจนจบ ผ่านงานภาพ การจัดแสง และดนตรีประกอบที่ถูกจัดวางไว้อย่างละเอียดถี่ถ้วนรวมถึงผู้กำกับยังผูกโยงเรื่องราวของสองตัวละครหลักออกมาได้ค่อนข้างลื่นไหล ไม่ได้ลึกลับซับซ้อนจนเกินไป แต่ก็ไม่ได้ง่ายจนทำให้เราคาดเดาเรื่องราวได้ทั้งหมด บวกกับการบาลานซ์ระหว่างพาร์ตความโรแมนติกและดราม่าที่ค่อนข้างลงตัว มีฉากที่ทำให้เราได้อมยิ้มไปกับโมเมนต์หวานๆ ของสองพระนาง พร้อมกับการเข้าไปสำรวจความเจ็บปวดจากการสูญเสียคนรักไปของตัวละครอย่างลึกถึงแก่นโดยหนึ่งในนักแสดงที่เราชื่นชอบและเป็นที่จดจำมากที่สุด เห็นจะเป็น โออิสุมิ โย ที่รับบทเป็น โอซาไน ผู้เป็นภาพแทนของคนที่ไม่อาจข้ามผ่านความโศกเศร้าที่ต้องสูญเสียภรรยาและลูกผู้เป็นที่รักไปได้ ซึ่ง โออิสุมิ โย ก็ถ่ายทอดห้วงอารมณ์ของตัวละครจนทำให้เราสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดรวดร้าวที่เขาต้องแบกรับ และทำให้เรามีความรู้สึกร่วมไปกับเขาได้ในทันที จึงไม่แปลกนักที่การแสดงของ โออิสุมิ โย ในครั้งนี้จะส่งให้ชื่อของเขาได้เข้าชิงรางวัล Japan Academy Film Prize ในสาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม เพราะเขานำเสนอบทบาทที่ได้รับออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมจริงๆอย่างไรก็ตาม Phases of the Moon ก็มีข้อสังเกตที่เราแอบรู้สึกติดขัดอยู่เช่นกัน นั่นคือการนำเสนอเรื่องราวปาฏิหาริย์อย่าง ‘การกลับชาติมาเกิดใหม่’ ที่เรารู้สึกว่ายังมีความกำกวมอยู่พอสมควร จนทำให้เราเกิดคำถามขึ้นในระหว่างการชม เช่น การเกิดปาฏิหาริย์ดังกล่าวนั้นช่วยให้ตัวละครข้ามผ่านปมปัญหาของตัวเองไปได้อย่างไร หรือเมื่อตัวละครรับรู้ถึงปาฏิหาริย์ดังกล่าวแล้ว พวกเขาจะรับมือและวางตัวกับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างไรต่อไป ซึ่งความกำกวมดังกล่าวก็ส่งผลมาถึงบทสรุปของภาพยนตร์ที่ไม่สามารถโน้มน้าวให้เรา ‘เชื่อ’ ในปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้นได้อย่างที่ควรจะเป็น ส่วนตัวผู้เขียนจึงคิดว่าหากภาพยนตร์ตัดประเด็นของการกลับชาติมาเกิดใหม่ออกไป แล้วเน้นไปที่เรื่องราวความเจ็บปวดและการข้ามผ่านความสูญเสียของตัวละครอย่างเดียวไปเลย ก็อาจจะทำให้ประเด็นของเรื่องมีความหนักแน่นและเข้มข้นมากขึ้นกว่านี้ ในภาพรวมแล้ว แม้ว่า Phases of the Moon จะมีข้อสังเกตที่ทำให้เราตั้งคำถามกับเรื่องราวที่เกิดขึ้นอยู่บ้าง แต่ด้วยการแสดงอันยอดเยี่ยมของทีมนักแสดงนำที่สะกดเราได้อย่างอยู่หมัด รวมถึงการที่ผู้กำกับสามารถปรุงแต่งความโรแมนติก-ดราม่าออกมาได้อย่างกลมกล่อม ก็ถือเป็นจุดเด่นที่เข้ามาเสริมบาดแผลของเรื่องได้อย่างพอเหมาะ