Maharaj มหาราชา 2024 พากย์ไทย
ตัวอย่างหนัง Maharaj มหาราชา 2024 พากย์ไทย
ดูหนัง Maharaj มหาราชา 2024 พากย์ไทย เต็มเรื่อง
เรื่องย่อ:Maharaj มหาราชา 2024 พากย์ไทย ถ้าเอ่ยถึงประเทศอินเดียนั้นกล่าวได้ว่าเป็นประเทศที่มีความหลากหลายทั้งทางเชื้อชาติ ศาสนา ความเชื่อที่ส่งผลไปถึงความศรัทธา ซึ่งความศรัทธานี่เองที่บางครั้งอาจเป็นเรื่องที่เป็นปัจเจกเป็นเรื่องเฉพาะบุคคลที่อาจเป็นสิทธิ์ขั้นพื้นฐานของแต่ละบุคคลที่จะเลือกศรัทธาในสิ่งไหนหรือไม่อย่างไร กระนั้นเท่าที่ได้ทราบมาประเทศอินเดียก็ความความศรัทธาที่เข้มแข็งในเรื่องของศาสนาและความเชื่อที่สืบทอดกันมายังไม่รวมถึงทัศนคติบางอย่างที่ยังไม่เปลี่ยนแปลง นั่นคือความเปิดกว้างในบางเรื่องที่โลกไปไกลเกินกว่าที่จะมายึดติดในบางเรื่องแต่ด้วยความที่สังคมอินเดียนั้นระบบอาวุโสอาจรุนแรงกว่าที่อื่น จนอาจทำให้การตั้งคำถามในบางเรื่องที่เป็นความแหลมคมได้ทิ่มแทงความรู้สึกของคนบางกลุ่มที่บางครั้งก็เป็นกลุ่มใหญ่เช่นเดียวกับการตั้งคำถามในหนังอินเดียมากมายในระยะหลังที่เกิดขึ้นจากคนรุ่นใหม่ แน่นอนจะมีอะไรที่น่าตั้งคำถามได้มากกว่าความศรัทธาที่มีเส้นแบ่งกับความงมงายที่บอบบางจนบางครั้งเส้นแบ่งนั้นก็ถูกตัดขาดโดยง่าย และหนังเรื่องนี้แม้จะไม่ไต้ตั้งคำถามกับความศรัทธาแต่ก็มีเหตุผลที่คนจะศรัทธาส่วนจะเป็นยังไงมาว่ากันบอมเบย์ เมืองที่ประกอบไปด้วยเกาะเจ็ดเกาะซึ่งกษัตริย์อังกฤษได้รับเป็นสินสอดแล้วปล่อยให้บริษัทอีสต์อินเดียเช่าต่อ ช่วงปีคริสต์ศักราช 1800 บอมเบย์เป็นเมืองท่าที่จอแจที่กลายมาเป็นศูนย์กลางของพ่อค้าฝ้ายชาวคุชราตที่นับถือไวษณพนิกายหรือนิกายที่บูชาพระวิษณุในศาสนาฮินดู บอมเบย์ในเวลานั้นมีฮาเวลีหรือวิหารพระวิษณุอยู่เจ็ดแห่งและที่ใจกลางเขตกัลบาเดวีเป็นที่ตั้งของฮาเวลีใหญ่ แต่ถึงแม้จะปกครองโดยอังกฤษแต่ทุกคนก็ยกให้หัวหน้านักบวชของฮาเวลีที่เรียกว่าเจเจเป็นผู้นำหรือที่เรียกกันว่ามหาราชที่ทรงอำนาจเหนือความศรัทธาของประชาชนและที่นี่มีมหาราชนามว่า Jadunath Maharaj (Jaideep Ahlawat) แต่ทุกอย่างกำลังจะเปลี่ยนไปเมื่อ Karsandas Mulji (Junaid Khan) ได้รับรู้ว่า Kishori (Shalini Pandey) ถูกใช้ความศรัทธาในศาสนาล่อลวงให้ไปมีความสัมพันธ์ทางเพศกับมหาราช Karsandas ที่เป็นคนหัวก้าวหน้าจึงถอนหมั้นจนกระทั่ง Kishori ได้รู้ตัวตนของมหาราชที่แท้จริงเธอจึงฆ่าตัวตาย ด้วยความเสียใจ Karsandas จึงตั้งใจจะเปิดโปงความชั่วช้าผู้นำทางศาสนาที่เป็นศูนย์รวมใจของประชาชนหยิบเอาเรื่องจริงในหน้าประวัติศาสตร์การปฏิรูปมาเล่าได้อย่างขึงขังน่าติดตามทั้งที่รู้ทั้งรู้ว่าเรื่องจะลงเอยแบบไหน เปิดหัวมาก็ออกตัวแล้วว่าอ้างอิงจากเรื่องจริงของบุคคลที่มีตัวตนในประวัติศาสตร์ที่มีคุณูปการต่อประเทศอินเดียที่เล่าผ่านเหตุการณ์ที่เป็นจุดเปลี่ยนของตัวบุคคลและสังคม บทหนังจึงเหมือนเล่าเรื่องจุดเปลี่ยนนั้นโดยสังเขปไม่ได้ลงรายละเอียดมากมายทั้งที่ดูก็รู้ว่ามีรายละเอียดมากมายมาให้เล่นให้เล่าแต่ก็อาจจะเป็นเรื่องของเวลาฉาย กระนั้นก็เล่าได้อย่างขึงขังด้วยความที่บริบททางสังคมของอินเดียยุคสมัยนั้นที่คร่ำครึจนยากจะคัดง้างเพราะชุดความคิดของคนส่วนใหญ่ไปในทิศทางเดียวกัน หนังจึงหยิบเอาประเด็นของการใช้ประโยชน์ของการตีความทางศาสนาเพื่อประโยชน์ส่วนตนมาเล่าได้อย่างมีพลังเพราะเรื่องแบบนี้ต่อให้เป็นปัจจุบันนี้ก็ยังมีจึงเป็นเรื่องที่ร่วมสมัยทั้งที่เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นมานานแล้ว บทหนังจึงเล่าได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่องในสิ่งที่เล่าและเต็มไปด้วยคำถามที่ยิงใส่สมองคนดูเป็นชุดๆด้วยบทสนทนาที่ไม่ดูลิเกหรือยัดเยียด หนังจึงมีความน่าติดตามทั้งที่รู้แล้วว่าบทสรุปจะลงเอยแบบไหนเสียดายที่ขาดความเข้มข้นทางบันเทิงคดีที่มีจังหวะมากมายที่จะดราม่าหรือบีบให้หนักกว่านี้ตามสไตล์งานแนวนี้แต่ไม่ทำทำให้เหมือนอะไรๆดูง่ายไป สิ่งที่เสียดายคือโดยทั่วไปแล้วหนังแนวนี้เรื่องของการต่อสู้กับอำนาจและอิทธิพลของคนธรรมดาที่หาญกล้าลุกขึ้นสู้เพื่อเปิดโปงความชั่วช้าเพื่อสร้างบรรทัดฐานที่ดีในเวลาต่อมาจะมากจะน้อยต้องมีดราม่าและมีจุดพลิกผันหนักๆหรืออาจเรียกได้ง่างานแนวนี้ต้องขยี้ถึงจะบันเทิง และเรื่องนี้ความจริงมีจังหวะมีช่องมากมายแต่เลือกที่จะไม่ลงลึกทำให้ความรู้สึกไม่เข้าถึงเหมือนคนดูเป็นเพียงผู้สังเกตการณ์ไม่ได้มีอารมณ์ร่วมไปกับชะตากรรมที่พลิกผันของตัวละครที่ใส่มาเป็นระยะตามสไตล์ของงานแนวนี้ แล้วด้วยความที่บทหนังไม่ขยี้ดราม่าให้ถึงจุดที่ควรก็ทำให้ในความพลิกผันใดๆหรือการพลิกเกมกลับมาของฝ่ายธรรมะดูเหมือนเป็นความง่ายไปหมด หรือแม้กระทั่งการกระทำใดจากฝ่ายอธรรมผู้มีอำนาจก็ยังเป็นสิ่งที่คิดได้คาดเดาออกเพราะอย่างที่บอกคือมันคือของมันต้องมีในงานแนวนี้ ทำให้ขาดความเข้มข้นทางบันเทิงคดีไปอย่างน่าเสียดายที่เหลืออีกนิดเดียวจะกลายเป็นสารคดีไปแล้วไม่ได้ตั้งคำถามกับความศรัทธาของใครแต่ทั้งแหลมคมและคมคายในการกระตุ้นเตือนให้มีความศรัทธาควบคู่ไปกับสติปัญญา สิ่งที่ต้องชื่นชมคือแก่นของเรื่องที่ชัดและแข็งแรงที่แม้จะไม่ถึงกับสร้างทางแยกในมโนสำนึกแต่ก็แหลมคม ทั้งยังเป็นความคมคายที่ไม่ดูยัดเยียดแต่กลับเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาแม้จะไม่ท้าทายแต่ก็ได้ผลในการกระตุกและกระตุ้นเตือน เพราะหนังไม่ได้บอกหรือตั้งคำถามในความศรัทธาหรือความงมงายหรือแม้กระทั่งไม่ได้ท้าทายอำนาจของศาสนาแต่ท้าทายอำนาจของมนุษย์ธรรมดาที่ใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือในการแสดวงหาประโยชน์ส่วนตน เพราะความงมงายเป็นเรื่องส่วนบุคคลแต่ความงมงายจะทำให้ขาดความยั้งคิดที่จะทำอะไรที่อาจไม่ผิดแต่เป็นความสูญเสียโดยไม่รู้ตัวเพราะเชื่อว่านั่นคือความศรัทธา หนังจึงพร่ำบอกว่าความศรัทธาจึงต้องมีสติปัญญามากำกับควบคู่กันไปเพราะความศรัทธาไม่ใช่เรื่องที่ผิดแต่ความศรัทธาย่อมต้องมีเหตุและผล การตั้งคำถามที่มีจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมคนต้องศรัทธนาในศาสนาและทำไมคนต้องบูชาตัวบุคคลที่อ้างตนเป็นตัวแทนของพระเจ้าทั้งที่พระเจ้าอาจอยู่ในใจของทุกคนเมื่อบทไม่พยายามขยี้การแสดงจึงเหมือนว่าน่าจะดีได้กว่านี้แต่เท่านี้ก็มองไม่เห็นแล้วว่าใครจะมาแสดงแทนนักแสดงนำสองคนได้ ถ้าจะเอาให้ชัดและลึกคือหนังเรื่องนี้ถูกควบคุมและเดินเรื่องโดยคนสองคนคือ Karsandas ที่รับบทโดย Junaid Khan และ Jadunath Maharaj ที่รับบทโดย Jaideep Ahlawat โดยเป็นการห้ำหั่นกันโดยตรง สิ่งที่น่าเสียดายคือบทหนังไม่ขยี้อย่างที่ควรขยี้ทำให้ตัวละครไม่ลึกแต่ก็ต้องชื่นชมการแสดงที่ดูฉลาดและมีหัวก้าวหน้าอย่างสัมผัสได้ของ Karsandas ที่ถ่ายทอดโดย Junaid Khan แต่ที่ต้องชื่นชมกว่าคือ Jaideep Ahlawat ที่นิ่งแต่เห็นเลยว่าเป็นคนเจ้าเล่ห์และมักมากในกาม กระนั้นถ้าบทหนังจะเชือดเฉือนกว่านี้ก็น่าจะทำได้แต่กลับเลือกทำอะไรง่ายๆทำให้มิติความดีกับความร้ายไม่ถูกขับส่งหรืออาจเรียกได้ว่าอารมณ์คนดูไม่ถูกผลักไปให้สุดทาง อธิบายอีกครั้งว่าอารมณ์คนดูจะแค่อยากรู้แต่ไม่ถึงกับเอาใจช่วยหรือเกลียดจนอยากบดบี้ให้แหลกหรือสะสาแก่ใจในตอนท้าย แต่เท่าที่เห็นก็คือการแสดงดีแล้วเพราะก็มองไม่ออกว่าใครจะมาเล่นบทสองคนนี้ได้แค่วาน่าจะดีได้กว่านี้เท่านั้นอาจไม่เร่งเร้ารุนแรงเหมือนไปเรื่อยๆรู้บทสรุปแล้วว่าจะออกหน้าไหนด้วยแต่ยังสนุกน่าติดตามว่าเส้นทางระหว่างนั้นจะเป็นอย่างไร เอาจริงถ้าว่ากันที่ความเห็นส่วนตัวหนังเรื่องนี้ถ้าเทียบกับงานแนวนี้เรื่องอื่นๆพลังยังไม่แรงถึงขีดสุด อาจเพราะสร้างจากเรื่องจริงจนไม่อยากแต่งแต้มเติมอะไรให้กระทบกับเรื่องจริงมากนักหนังจึงค่อนข้างไปเรื่อยๆไม่เร่งเร้ารุนแรงเหมือนงานแนวนี้ที่เคยเห็นๆมา แถมงานแนวนี้ที่เมื่อเปิดหน้ามาก็รู้แล้วว่าสุดท้ายจะลงเอยหน้าไหนที่เหลือแค่อยากรู้ว่าจะไปถึงตรงนั้นได้อย่างไรจะมีอะไรมาพลิกผันไปมาพลิกเกมกันแบบหักเหลี่ยมเฉือนคม ซึ่งเรื่องนี้ก็ยังเป็นแบบนั้นเพียงแต่มันไม่แรงไม่บีบหัวใจเท่าที่ควรหรืออาจจะบอกได้ว่าไปไม่ถึงจุดที่ควรจะเป็นก็คงใช่ แต่หนังก็ยังดูสนุกน่าติดตามเพราะคำว่าอย่างไรอย่างที่ว่าเพราะคนดูจะยังต้องการรู้เส้นทางนั้นแม้ว่าเมื่อเปิดหน้าไพ่ใส่กันมามันจะเป็นความง่ายๆไปบ้าง แต่ก็คงไม่ใช่ปัญหาเพราะหนังยังสามารถตรึงคนดูได้ด้วยเนื้อหาที่มาพร้อมกับฉากที่อลังการรวมถึงงานเพลงประกอบที่โดดเด่น แน่นอนนี่คือหนังดีอีกเรื่องหนึ่งเพียงแต่เสียดายว่าถ้าจะดีกว่านี้ก็น่าจะทำได้