Drawing Closer วาดรัก จนกว่าจะหมดเวลา 2024 พากย์ไทย
ตัวอย่างหนัง Drawing Closer วาดรัก จนกว่าจะหมดเวลา 2024 พากย์ไทย
ดูหนัง Drawing Closer วาดรัก จนกว่าจะหมดเวลา 2024 พากย์ไทย เต็มเรื่อง
เรื่องย่อ:Drawing Closer วาดรัก จนกว่าจะหมดเวลา 2024 พากย์ไทย เป็นเรื่องราวของ “อากิโตะ” พระเอกของเรื่องเขาเป็นนักวาดภาพที่มีพรสวรรค์ ในตอนนี้เขาต้องฝึกตัวเองอย่างหนัก เพื่อให้ถูกยอมรับและเข้าร่วมงานนิทรรศการให้ได้ แต่ทว่าก็มีเรื่องร้ายเกิดขึ้นกับเขาเมื่อ “อากิโตะ” ได้พบว่าตัวเองป่วยเป็นเนื้องอกในหัวใจ และจะมีชีวิตอยู่ได้อีกแค่ 1 ปีเท่านั้น แต่สำหรับเขาแล้วเขาไม่แสดงอารมณ์ใดๆทั้งนั้น จนได้พบกับหญิงสาวที่ชื่อ “ฮารุนะ” บนดาดฟ้าของโรงพยาบาล ทั้งสองได้รู้จักกันและ “ฮารุนะ” เองก็ป่วยเป็นโรคเช่นเดียวกัน แถมเธอจะมีชีวิตอยู่ได้อีกเพียงแค่ 6 เดือนเท่านั้นทำให้เขา เริ่มสนใจในตัวเธอและอยากรู้จักเธอให้มากขึ้น เรื่องราวของพวกเขาจะเป็นอย่างไรต้องไปรอลุ้นกัน
ไม่รู้ว่าผู้เขียนคิดไปเองหรือเปล่าที่คิดว่าถ้าว่ากันที่หนังโรแมนติกดราม่าซึ้งปนเศร้าประมาณเล่าเรื่องพาดผ่านการจากลาหรือความตายภายไต้อาการเจ็บป่วยที่ต้องทำใจนั้นทางญี่ปุ่นจะทำได้ดี หรืออาจเพราะบางทีการเล่าเรื่องในแบบญี่ปุ่นที่ค่อยๆละเลียดเล่าก็ทำให้บางอย่างลงลึกข้างในทั้งที่ไม่ต้องขยี้มากมายก็สามารถสร้างแรงกระเพื่อมในหัวใจได้ ผู้เขียนจึงเห็นหนังญี่ปุ่นมากมายที่เล่าเรื่องของความโรแมนติกที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการต้องจากลาไม่ว่าทางใดทางหนึ่งหรือเอาให้แน่นลงไปอีกคือการที่ตัวเอกคนใดคนหนึ่งจะต้องจากไปในเวลาอันใกล้ แน่นอนเมื่อมองแบบนี้มันมองได้ว่าเป็นความพยายามเร้าอาการโศกเศร้าเคล้าน้ำตาหรือภาษาวันรุ่นข้างบ้านเรียกว่าเตรียมทิชชู่รอไว้เพราะยังไงน้ำตาไหลแน่นอน กระนั้นทุกครั้งที่มีหนังประมาณนี้ออกมาต่อให้เศร้าซึ่งมันก็ควรเศร้าแต่กลับมีอะไรที่อุ่นระอุในใจคนดูอยู่เสมอ จนอาจเรียกได้ว่าในความเศร้ามีความสวยงามบางอย่างแอบซ่อนอยู่ และคราวนี้หนังแบบนี้จากญี่ปุ่นก็มาอีกแล้วที่รู้ทั้งรู้ว่าหนังญี่ปุ่นแบบนี้มีมาบ่อยๆแต่ก็ยังรอคอยหนังแบบนี้เสมอไม่เคยเปลี่ยน ในวันอันหม่นหมองอากิโตะ ฮายาซากะ (เรน นากาเสะ) ที่กำลังสิ้นไร้พลังการมีชีวิตอยู่แต่พลันที่ได้เห็นหญิงสาวคนหนึ่งนั่งวาดรูปอยูใกล้ๆเขาจึงเอะใจเข้าไปทัก และเธอคือฮารุนะ ซากุราอิ (นัตสึกิ เดกูชิ) หญิงสาววัยสิบเจ็ดปีเท่ากับอากิโตะแต่เธอจะมีชีวิตอยู่ได้อีกเพียงหกเดือนจากอาการป่วย ทว่าท่าทางของเธอนั้นกลับสดใสยิ้มเยาะความตายที่กำลังเดินหน้าเข้ามาใกล้อย่างไม่ยี่หระทำให้อากิโตะกลับมาพบแสงสว่างของชีวิตอีกครั้งหลังได้ดูรูปที่ฮารุนะวาด แน่นอนอากิโตะก็เป็นคนที่ชอบและมีพรสวรรค์ด้านศิลปะแต่ล้มเลิกไปเพราะตรวจพบเนื้องอกในหัวใจที่จะทำให้เขามีชีวิตอยู่ได้อีกเพียงหนึ่งปี นั่นเท่ากับว่าเด็กหนุ่มและเด็กสาววัยมัธยมปลายที่ควรมีโลกที่สดใสรออยู่กลับต้องมานับวันรอความตาย อากิโตะจึงผูกไมตรีกับฮารุนะเพื่อที่จะอุทิศชีวิตของเขาที่เหลืออยู่เพื่อมอบพลังการมีชีวิตอยู่ให้กับฮารุนะด้วยการพยายามสร้างความทรงจำที่ดี เขาและเธอจึงเหมือนเดินผ่านวันเวลาที่ยากลำบากกับการต่อสู้กับอาการป่วยไปด้วยกันแต่ก็เหมือนกับโลกของทั้งสองเต็มไปด้วยความสวยงามจนความรักก่อตัวขึ้นมาท่ามกลางการรอวันจากลา ยังคงเล่าเรื่องเรียบเรื่อยเก็บเกี่ยวอารมณ์ความรู้สึกซึมลึกในแบบญี่ปุ่นที่อาจไม่ต้องขยี้แต่มีอาการจุกอก เพราะหนังญี่ปุ่นจะมีเสน่ห์ตรงความเรียบง่ายจนเรียบเรื่อยค่อยๆเล่าด้วยความละเมียดละไมและยิ่งเรื่องนี้ยิ่งเพิ่มความละมุนเข้าไปเพราะสร้างจากนิยายขายดี บางครั้งจึงอาจมีบ้างที่มองเห็นภาษาทางวรรณกรรมออกมาให้ได้สัมผัสจากการเดินเรื่องที่เน้นเก็บเกี่ยวอารมณ์โดยที่ไม่พยายามหม่นโศก ใช่แล้วบทหนังเลือกไปทางสดใสมากกว่าเพราะเล่าเรื่องของชีวิตและการจากลาแต่มีพื้นฐานที่ความทรงจำที่ดีที่ยิ่งเล่าก็ยิ่งซึมลึก เพราะตัวละครหลักสองคนต่างคนต่างมีมิติที่ลึกที่อาจเหมือนแต่ก็ต่างเพราะพื้นฐานทางครอบครัวที่ต่างกันทำให้การมองโลกในแง่มุมที่ต่างกันออกมาชัดเจน กระนั้นบทหนังก็ฉลาดพอที่จะซ่อนเร้นบางอย่างไว้อย่างมิดชิดเพราะคนสองคนที่ต้องเผชิญหน้ากับความตายต่างฝ่ายก็ต่างเป็นพลังบวกให้กัน แน่นอนบทหนังมีช่องมากมายที่จะบดบี้ขยี้ให้ฟูมฟายแต่นี่คือหนังญี่ปุ่นที่เลือกที่จะเงียบนิ่งปล่อยให้ความรู้สึกของคนดูทำหนาที่ของตัวเอง นั่นคือแม้จะมองเห็นความสุขสดใสบนจอแต่ข้างในกลับคล้ายจุกอกตลอดเวลาอบอุ่นซาบซึ้งทั้งที่ควรจะเศร้าอบอวลไปด้วยความรักทั้งที่ไม่มีฉากโรแมนติกได้อย่างน่าทึ่ง เพราะหนังญี่ปุ่นมักจะทำได้ดีในเรื่องเชิงนี้นั่นคือทำให้รู้สึกอีกอย่างทั้งที่ควรจะรู้สึกอีกอย่างและเป็นแบบนี้บ่อยครั้งจนเหมือนว่าเป็นทางถนัดของหนังโรแมนติกดราม่าญี่ปุ่น สำหรับเรื่องนี้เรื่องที่ว่าด้วยความตายที่กำลังเดินเข้าหาคนสองคนที่เอาจริงข้างในจะต้องกลัวซึ่งก็กลัว แต่เมื่อคนสองคนที่ต่างคนต่างกลัวได้เติมเต็มให้กันการเดินหน้าเข้าหาความตายจึงมีสัมผัสความอบอุ่นซาบซึ้งเพราะคนสองคนได้สร้างความทรงจำที่ดีให้แก่กันผ่านดอกเยอบีร่า เช่นกันในมุมของความสูญเสียไม่ได้มีแค่คนป่วยแต่ครอบครัวคนที่อยู่ข้างหลังก็ได้รับผลกระทบรุนแรงสิ่งที่เป็นคือเรื่องที่ควรเศร้ากลับอบอุ่นซาบซึ้ง อีกอย่างคือจะมีกี่ครั้งที่หนังรักโรแมนติกสักเรื่องที่ไม่มีความรู้สึกว่าหวานละมุนหัวใจแต่กลับอบอวลไปด้วยความรัก ทั้งที่ไม่มีฉากโรแมนติกแม้แต่ฉากเดียวส่วนใหญ่จะเป็นการสร้างแรงบันดาลใจและสร้างความทรงจำที่ดีแต่ถึงกระนั้นคนดูก็รู้สึกได้ว่ามีความรักก่อตัวอยู่ข้างใน ทำให้เมื่อดูแล้วไม่น่าจะเป็นไปได้แต่ก็เป็นไปแล้วอย่างแนบเนียนจนน่าทึ่ง ถ้ามองดูฉากหน้าอาจเหมือนบีบคั้นให้เศร้าคูณสองแต่กลับไม่เป็นอย่างนั้นทั้งยังมาพร้อมความหมายในชีวิตมากมาย โดยปกติแล้วหนังแบบนี้จะต้องมีคนใดคนหนึ่งป่วยแล้วจากไปเพื่อให้คนที่อยู่ต่อไปได้ใช้ชีวิตต่อด้วยความรัก ความจริงเพียงเท่านั้นก็เศร้าพอแล้วแต่เรื่องนี้กลับมาเป็นวามน่าเศร้าแบบคูณสองเมื่อคนสองคนต่างเหลือเวลาไม่มาก ซึ่งก็คือคนที่เหลือเวลามากกว่ายอมอุทิศเวลาที่ตนเองเหลืออยู่เพื่อให้คนที่เหลือเวลาน้อยกว่าได้มีเวลาในชีวิตที่เหลืออยู่ที่ดี แน่นอนว่าสิ่งที่ได้รับกลับมาก็คือเวลาที่ดีของตัวเองเป็นการตอบแทนและได้มอบพลังแห่งการต่อสู้กับอาการป่วยเพื่อที่จะอยู่ให้ได้นานขึ้นเพื่อคนอื่น แน่นอนเมื่อเห็นหน้าหนังแบบนี้เชื่อเถอะว่าหลายคนคิดเอาไว้แน่นอนว่าจะเป็นหนังที่มาเพื่อบีบน้ำตาเป็นสาย แต่หนังเรื่องนี้ไม่เป็นอย่างนั้นเมื่อไม่มีความฟูมฟายเพราะเลือกไปในทางโลกสวยสดใสความตายเป็นเรื่องธรรมดาแม้จะรู้ว่าเหลือเวลาอีกไม่เท่าไหร่ก็แค่ใช้เวลาที่เหลือให้คุ้มค่าที่สุด หนังยังทำได้แค่ทำให้มีน้ำตาคลอไม่ร้องระงมฟูมฟายน้ำตาไหลเป็นทางแถมยังมีความหมายในชีวิตมากมายให้ได้รับรู้และขบคิด เพราะมันคือการมองโลกในมุมสดใสเมื่อพบใครสักคนการแสดงจึงมองเห็นความสว่างท่ามกลางความดำมืด การนั่งรอความตายความหมายมันคือความดำมืดแต่การได้พบใครสักคนที่ได้มอบแสงสว่างให้ชีวิตที่เหลืออยู่ความหมายก็คือความงดงามของชีวิตที่เหลืออยู่ ทำให้การแสดงของทั้งสองนักแสดงนำคือเห็นเป็นความสวยงามคือเป็นด้านสว่างไม่ได้อยู่ท่ามกลางความมืดมิดในหัวใจ เพราะบทหนังต้องการให้ออกมาโทนสวยสดใสทั้งที่มืดหม่นการแสดงจึงออกมาตามนั้นได้เต็มที่ทั้งยังสัมผัสถึงความเศร้าที่อยู่ข้างในความเจ็บปวดที่ไม่ได้ทำอะไรที่ควรทำ แน่นอนความสุขที่ได้ทำในสิ่งที่ไม่เคยทำและหนึ่งในนั้นคือการมีความรักดีๆสักครั้งในชีวิตก่อนตายและสิ่งที่ได้คือการถ่ายทอดระดับยอดเยี่ยมของทั้งเรน นากาเสะและนัตสึกิ เดกูชิ ที่สำคัญทั้งสองคนยังเปล่งประกายเต็มที่ผ่านงานด้านภาพและโทนสีที่เน้นความสว่างสดใสทำให้ในความรู้สึกเศร้าที่มันต้องมีแต่ก็มีความสุขอยู่ลึกๆ เพราะบทหนังทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีพอการแสดงก็ทำได้ดีพอจึงสามารถเก็บเกี่ยวอารมณ์ได้อย่างเพียงพอจนน้ำตาคลอได้แทบทุกฉากทุกซีน เป็นหนังโรแมนติกดราม่าในแบบที่ญี่ปุ่นทำได้ดีเสมอที่ยังคงโศกซึ้งตรึงใจทำให้ดูแล้วก็ยังรักหนังรักแบบนี้จากญี่ปุ่น จะว่าไปเรื่องนี้ก็ยังเป็นหนังโรแมนติกดราม่าโศกเศร้าปนซึ้งที่ญี่ปุ่นทำออกมาบ่อยๆ แต่ก็แปลกที่ต่อให้เห็นมาบ่อยแต่ทุกครั้งก็ยังโศกซึ้งตรึงใจได้เสมอไม่ว่าจะออกมาให้ดูสักกี่ครั้งที่อย่าให้ยกตัวอย่างเลยเพราะเยอะเหลือเกิน ซึ่งอาจเป็นความเห็นส่วนตัวของผู้เขียนที่ว่าญี่ปุ่นทำหนังแบบนี้ได้ดีเสมอเพราะสามารถจับใจได้ในทุกเรื่องที่ออกมาหรืออาจเป็นเพราะผู้เขียนชอบหนังญี่ปุ่นก็คงไม่ผิด และสำหรับหนังรักในแบบญี่ปุ่นแบบนี้อาจเรียกได้ว่าเป็นที่รักของผู้เขียนเพราะผู้เขียนรักที่จะดูหนังรักญี่ปุ่นแบบนี้ และเรื่องนี้ก็ยังเป็นหนังที่สามารถสร้างคตวามประทับใจได้อย่างที่ควรเป็นเพราะหนังไม่ฟูมฟายไม่บีบคั้นปล่อยให้เพลงและภาพขับส่งอารมณ์ได้อย่างดีเช่นเคย แน่นอนผู้เขียนไม่ปฏิเสธว่าการดูหนังเรื่องนี้มีความรู้สึกเศร้าอยู่ตลอดเวลาแต่อย่างที่บอกคือในความเศร้านั้นมีอะไรที่งดงามทาบทาอยู่ ทำให้หนังเรื่องนี้สามารถเข้าไปนั่งในใจได้และเชื่อว่านี่คือเหตุผลที่หลายคนรักหนังญี่ปุ่น