1992 คืนระห่ำโหด คนระห่ำแตก 2022 พากย์ไทย
ตัวอย่างหนัง 1992 คืนระห่ำโหด คนระห่ำแตก 2022 พากย์ไทย
ดูหนัง 1992 คืนระห่ำโหด คนระห่ำแตก 2022 พากย์ไทย เต็มเรื่อง
เรื่องย่อ:1992 คืนระห่ำโหด คนระห่ำแตก 2022 พากย์ไทย หน้าหนังดูเป็นเกรดรอง แต่เนื้อในนับว่าใช้ได้เลยครับ ใครชอบหนังแนวดราม่าทริลเลอร์ก็น่าจะโออยู่เหตุการณ์ในหนังคือช่วงปี 1992 ครับ ตอนที่แอลเอเกิดจลาจลครั้งใหญ่อันเนื่องมากจากคดีตำรวจทำร้ายร็อดนี่ย์ คิง – ประมาณว่าร็อดนี่ย์ซึ่งเป็นชายผิวดำถูกตำรวจรุมทำร้ายเกินกว่าเหตุจนเกิดคดีฟ้องร้องกันขึ้น แต่สุดท้ายแล้วตำรวจผิวขาวกลุ่มนั้นได้รับการตัดสินว่าไม่มีความผิด เลยเกิดจลาจลขึ้นครับแล้วตามท้องเรื่องก็มีแก๊งโจรพ่อลูกที่นำโดย โลเวลล์ (Ray Liotta) และริกกิน (Scott Eastwood) ตั้งใจขโมยของจากเซฟในโรงงานแห่งหนึ่งซึ่งของในนั้นมูลค่าหลายล้าน แต่ทีนี้ระหว่างกำลังเจาะเซฟก็ดันมีพนักงานคนหนึ่งผ่านมาเห็น เขาคือ เมอร์เซอร์ เบย์ (Tyrese Gibson) ที่เพิ่งออกจากคุกมาได้ 6 เดือน โดยเขามากับลูกชายครับ งานนี้เมอร์เซอร์เลยต้องพยายามหยุดการปล้นและปกป้องลูกชายเขาให้พ้นจากคืนระห่ำนี้หนังถือว่าไม่เลวเลยครับ ดูเพลินดี แต่ต้องบอกก่อนว่าหนังไม่ได้เน้นแอ็คชั่นนะครับ คือมีบ้างแต่ไม่ได้เน้น ส่วนใหญ่จะเทน้ำหนักไปที่ดราม่าแล้วก็ความระทึกในครึ่งหลังที่เมอร์เซอร์ต้องปะทะกับพวกโลเวลล์ ซึ่งหนังอาจไม่ถึงขั้นมันส์โคตร ตื่นเต้นโคตร แต่ก็พูดได้เต็มปากว่าดูสนุกและชวนติดตามว่าตามจริงตัวบทมันไม่ได้มีอะไรมากนะครับ แต่ความเพลินอย่างแรกเลยมาจากนักแสดงที่เล่นกันได้ลื่นมาก อย่าง Gibson นี่ดูแล้วเชื่อครับว่าเขาคืออดีตชาวแก๊งที่สมัยก่อนเคยห้าว แต่พอผ่านโลกมามากเขาก็เข้าใจโลกมากขึ้น เข้าใจถึงความอยุติธรรมในสังคมมากจนสามารถรับมือกับเรื่องต่างๆ ได้ด้วยความนิ่ง ในขณะที่ลูกของเขา (Christopher Ammanuel) ก็เหมือนวัยรุ่นทั่วไปที่พร้อมจะพุ่งเข้าชนวิ่งเข้าใส่อะไรก็ตามที่เขาเห็นว่าไม่เป็นธรรม และก็แน่นอนว่าหลายครั้งเหมือนกันที่การทำแบบนั้นก็เท่ากับปเนการหาเรื่องใส่ตัว – โดยเฉพาะการปฏิบัติตัวกับตำรวจผิวขาวที่บ้าอำนาจผมชอบที่หนังสะท้อนความจริงเรื่องพวกนี้ออกมาได้แบบง่ายๆ และตรงๆ ครับ ทำให้เราเห็นเลยว่าโลกที่ไม่เป็นธรรมอันเนื่องมาจากเรื่องสีผิวนั้นเป็นเช่นไร และพอเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นซ้ำซากแล้วมันจะส่งผลที่ตามมาอย่างไร – ซึ่งก็คือคนทนไม่ไหว และระเบิดออกมา – แต่ขณะเดียวกันหนังก็สะท้อนผ่านคำพูดของเมอร์เซอร์ด้วย ว่าเอาเข้าจริงการประท้วงทำลายข้าวของของผู้คนนั้น คนที่จะเสียหายมากที่สุดกลับเป็นคนธรรมดาที่อยู่แถบนั้น หาใช่พวกตำรวจที่รอดตัวจากคดีหรือคนที่มีอคติต่อเรื่องสีผิว – ก็ถือเป็นการสะท้อนเรื่องการจลาจลครั้งนั้นในหลายมุมอยู่ครับนอกจาก Gibson และ Ammanuel แล้ว คนอื่นก็เล่นได้ลื่นครับ อย่าง Liotta นี่ก็ไว้ลายเสมอ เขาดูเป็นโจรเก๋าเกมที่โหดเหี้ยมได้อย่างสมบท ส่วน Eastwood ก็แสดงคาแรคเตอร์ของตัวละครให้เราเห็นได้แบบชัด ว่าแม้เขาจะเป็นโจรแต่ก็ไม่ได้อยากทำร้ายใคร สำหรับผมแค่ดู 4 คนนี้แสดงก็ถือว่าคุ้มแล้วล่ะผมออกจะแปลกใจด้วยซ้ำครับที่หนังดึงผมให้ติดตามได้ตั้งแต่เริ่ม เพราะปกติช่วงปูพื้นนี่มันมักจะเรื่อยๆ เปื่อยๆ ไม่ได้น่าสนใจอะไรมาก แต่กับเรื่องนี้หนังเปิดมาก็ใส่ฉากที่ถือว่ามีความสำคัญต่อเรื่องราวลงมาแบบเรื่อยๆ คงเพราะแบบนั้นน่ะครับหนังเลยจับความสนใจของผมได้ แต่ก็ต้องบอกก่อนนะครับว่า หนังมันก็ไม่ได้ถึงขั้นสุดยอดดีเยี่ยมอะไรมากหรอก แต่ผมว่ามันกำลังดี เหมือนผู้กำกับ Ariel Vromen รู้ว่าตัวเองต้องการเล่าอะไร แล้วก็เล่าไปตามนั้นได้แบบไม่หลุดโฟกัสผมว่าอีกเหตุผลหนึ่งที่ผมรู้สึกโอเคกับหนังก็คงเพราะหนังไม่ค่อยมีการนอกเรื่องน่ะครับ ประเภทฉากที่ใส่ๆ ลงมาเพื่อให้ครบเวลาแต่ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเส้นเรื่องนี่แทบไม่มีเลยกระนั้นผมก็ไม่อยากให้ท่านคาดหวังจนเกินไปนะครับ เอาเป็นว่าหนังถือว่าทำได้เข้าท่าตามแนวทางของมัน โอเคสำหรับหนังแนวดราม่าผสมระทึกว่าด้วยคนสองกลุ่มที่เส้นทางชีวิตต้องมาตัดกัน ในวันที่เมืองลุกเป็นไฟอันเนื่องมาจากความไม่ถูกต้องบางประการในสังคม หน้าหนังดูเป็นเกรดรอง แต่เนื้อในนับว่าใช้ได้เลยครับ ใครชอบหนังแนวดราม่าทริลเลอร์ก็น่าจะโออยู่เหตุการณ์ในหนังคือช่วงปี 1992 ครับ ตอนที่แอลเอเกิดจลาจลครั้งใหญ่อันเนื่องมากจากคดีตำรวจทำร้ายร็อดนี่ย์ คิง – ประมาณว่าร็อดนี่ย์ซึ่งเป็นชายผิวดำถูกตำรวจรุมทำร้ายเกินกว่าเหตุจนเกิดคดีฟ้องร้องกันขึ้น แต่สุดท้ายแล้วตำรวจผิวขาวกลุ่มนั้นได้รับการตัดสินว่าไม่มีความผิด เลยเกิดจลาจลขึ้นครับแล้วตามท้องเรื่องก็มีแก๊งโจรพ่อลูกที่นำโดย โลเวลล์ (Ray Liotta) และริกกิน (Scott Eastwood) ตั้งใจขโมยของจากเซฟในโรงงานแห่งหนึ่งซึ่งของในนั้นมูลค่าหลายล้าน แต่ทีนี้ระหว่างกำลังเจาะเซฟก็ดันมีพนักงานคนหนึ่งผ่านมาเห็น เขาคือ เมอร์เซอร์ เบย์ (Tyrese Gibson) ที่เพิ่งออกจากคุกมาได้ 6 เดือน โดยเขามากับลูกชายครับ งานนี้เมอร์เซอร์เลยต้องพยายามหยุดการปล้นและปกป้องลูกชายเขาให้พ้นจากคืนระห่ำนี้หนังถือว่าไม่เลวเลยครับ ดูเพลินดี แต่ต้องบอกก่อนว่าหนังไม่ได้เน้นแอ็คชั่นนะครับ คือมีบ้างแต่ไม่ได้เน้น ส่วนใหญ่จะเทน้ำหนักไปที่ดราม่าแล้วก็ความระทึกในครึ่งหลังที่เมอร์เซอร์ต้องปะทะกับพวกโลเวลล์ ซึ่งหนังอาจไม่ถึงขั้นมันส์โคตร ตื่นเต้นโคตร แต่ก็พูดได้เต็มปากว่าดูสนุกและชวนติดตามว่าตามจริงตัวบทมันไม่ได้มีอะไรมากนะครับ แต่ความเพลินอย่างแรกเลยมาจากนักแสดงที่เล่นกันได้ลื่นมาก อย่าง Gibson นี่ดูแล้วเชื่อครับว่าเขาคืออดีตชาวแก๊งที่สมัยก่อนเคยห้าว แต่พอผ่านโลกมามากเขาก็เข้าใจโลกมากขึ้น เข้าใจถึงความอยุติธรรมในสังคมมากจนสามารถรับมือกับเรื่องต่างๆ ได้ด้วยความนิ่ง ในขณะที่ลูกของเขา (Christopher Ammanuel) ก็เหมือนวัยรุ่นทั่วไปที่พร้อมจะพุ่งเข้าชนวิ่งเข้าใส่อะไรก็ตามที่เขาเห็นว่าไม่เป็นธรรม และก็แน่นอนว่าหลายครั้งเหมือนกันที่การทำแบบนั้นก็เท่ากับปเนการหาเรื่องใส่ตัว – โดยเฉพาะการปฏิบัติตัวกับตำรวจผิวขาวที่บ้าอำนาจผมชอบที่หนังสะท้อนความจริงเรื่องพวกนี้ออกมาได้แบบง่ายๆ และตรงๆ ครับ ทำให้เราเห็นเลยว่าโลกที่ไม่เป็นธรรมอันเนื่องมาจากเรื่องสีผิวนั้นเป็นเช่นไร และพอเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นซ้ำซากแล้วมันจะส่งผลที่ตามมาอย่างไร – ซึ่งก็คือคนทนไม่ไหว และระเบิดออกมา – แต่ขณะเดียวกันหนังก็สะท้อนผ่านคำพูดของเมอร์เซอร์ด้วย ว่าเอาเข้าจริงการประท้วงทำลายข้าวของของผู้คนนั้น คนที่จะเสียหายมากที่สุดกลับเป็นคนธรรมดาที่อยู่แถบนั้น หาใช่พวกตำรวจที่รอดตัวจากคดีหรือคนที่มีอคติต่อเรื่องสีผิว – ก็ถือเป็นการสะท้อนเรื่องการจลาจลครั้งนั้นในหลายมุมอยู่ครับนอกจาก Gibson และ Ammanuel แล้ว คนอื่นก็เล่นได้ลื่นครับ อย่าง Liotta นี่ก็ไว้ลายเสมอ เขาดูเป็นโจรเก๋าเกมที่โหดเหี้ยมได้อย่างสมบท ส่วน Eastwood ก็แสดงคาแรคเตอร์ของตัวละครให้เราเห็นได้แบบชัด ว่าแม้เขาจะเป็นโจรแต่ก็ไม่ได้อยากทำร้ายใคร สำหรับผมแค่ดู 4 คนนี้แสดงก็ถือว่าคุ้มแล้วล่ะผมออกจะแปลกใจด้วยซ้ำครับที่หนังดึงผมให้ติดตามได้ตั้งแต่เริ่ม เพราะปกติช่วงปูพื้นนี่มันมักจะเรื่อยๆ เปื่อยๆ ไม่ได้น่าสนใจอะไรมาก แต่กับเรื่องนี้หนังเปิดมาก็ใส่ฉากที่ถือว่ามีความสำคัญต่อเรื่องราวลงมาแบบเรื่อยๆ คงเพราะแบบนั้นน่ะครับหนังเลยจับความสนใจของผมได้ แต่ก็ต้องบอกก่อนนะครับว่า หนังมันก็ไม่ได้ถึงขั้นสุดยอดดีเยี่ยมอะไรมากหรอก แต่ผมว่ามันกำลังดี เหมือนผู้กำกับ Ariel Vromen รู้ว่าตัวเองต้องการเล่าอะไร แล้วก็เล่าไปตามนั้นได้แบบไม่หลุดโฟกัสผมว่าอีกเหตุผลหนึ่งที่ผมรู้สึกโอเคกับหนังก็คงเพราะหนังไม่ค่อยมีการนอกเรื่องน่ะครับ ประเภทฉากที่ใส่ๆ ลงมาเพื่อให้ครบเวลาแต่ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเส้นเรื่องนี่แทบไม่มีเลยกระนั้นผมก็ไม่อยากให้ท่านคาดหวังจนเกินไปนะครับ เอาเป็นว่าหนังถือว่าทำได้เข้าท่าตามแนวทางของมัน โอเคสำหรับหนังแนวดราม่าผสมระทึกว่าด้วยคนสองกลุ่มที่เส้นทางชีวิตต้องมาตัดกัน ในวันที่เมืองลุกเป็นไฟอันเนื่องมาจากความไม่ถูกต้องบางประการในสังคม

5.7 